ประวัติและการบริหารจัดการ
คณะวิทยาการจัดการ ได้จัดตั้งขึ้นมาตามความในมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติ วิทยาลัยครูพ.ศ. 2518 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิทยาลัยครู (ฉบับที่2) พ.ศ.2527 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการแบ่งส่วนราชการในวิทยาลัยครูเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2530 และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 104 ตอนที่ 73 ลงวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2530 หัวหน้าคณะวิชาคนแรก คือ อาจารย์จันทร์แก้ว เมืองใจ และได้ดำเนินงานให้บริการการศึกษา จนถึง พ.ศ. 2538
คณะวิชาวิทยาการจัดการ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “คณะวิทยาการจัดการ” ตามพระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏ พ.ศ. 2538 โดยคณบดีคณะวิทยาการจัดการคนแรก คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์เสาวณี ใจรักษ์ โดยการบริหารงานของคณะวิทยาการได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนแรก คือ สำนักงานคณบดีคณะวิทยาการจัดการ ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานภายใน คือ งานบริหารงานทั่วไป และ งานวิจัยและการบริการการศึกษา
ส่วนที่ 2 คือ ภาควิชา มีทั้งหมด 6 ภาควิชา ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารงานของคณะ ประกอบด้วย ภาควิชาบริหารธุรกิจ ภาควิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ ภาควิชาการบัญชีและการเงิน
ภาควิชาการตลาด และภาควิชานิเทศศาสตร์
ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เป็นหน่วยงานหนึ่งที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ โดยมุ่งพัฒนาบุคคลให้เป็นนักนิเทศศาสตร์ที่มีความรู้ คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณในวิชาชีพ มีทักษะในการปฏิบัติงานตามกระบวนการทางวิชาชีพนิเทศศาสตร์ กระบวนการสื่อสารระหว่างบุคคล กระบวนการสื่อสารมวลชน และทักษะวิจัย โดยสามารถใช้สื่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ให้นักศึกษามีความใฝ่รู้ใฝ่เรียนอย่างต่อเนื่องและเป็นการส่งเสริมสนับสนุนจัดการศึกษา เพื่อเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้และการดำเนินชีวิต อีกทั้งเพื่อสร้างสรรค์ผลงานตามกระบวนการทางวิชาชีพสาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จึงจัดให้มีสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ทางการศึกษาของวิชานิเทศศาสตร์ เช่น ห้องปฏิบัติการและอุปกรณ์สำหรับบริการอำนวยความสะดวกในด้านการเรียนการสอน จัดให้มีการบริการยืมอุปกรณ์การเรียน และเปิดใช้ห้องปฏิบัติการเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และสร้างประสบการณ์ในการเรียนรู้ในภาคปฏิบัติ โดยมีห้องปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ในภาคปฏิบัติ ทั้งหมด 6 ห้อง คือ
1) ห้องปฏิบัติการโทรทัศน์ (วิทยาเขตเวียงบัว)
2) ห้องปฏิบัติการโทรทัศน์ (วิทยาเขตแม่สา)
3) ห้องปฏิบัติการวิทยุกระจายเสียง (ห้องบันทึกเสียง)
4) ห้องปฏิบัติการล้าง อัด ขยายภาพ
5) ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ (ระบบปฏิบัติการแมคอินทอช)
6) ห้องสตูดิโอสำหรับถ่ายภาพ
ส่วนการให้บริการยืมอุปกรณ์การเรียนเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักศึกษาให้เกิดการเรียนรู้โดยมีความเชี่ยวชาญในด้านการประกอบอาชีพเฉพาะ โดยทางภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้เล็งเห็นความสำคัญของผู้เรียนเป็นสำคัญจึงได้จัดอุปกรณ์เครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้ทางด้านนิเทศศาสตร์เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติ เช่น กล้องถ่ายภาพฟิล์ม,
กล้องถ่ายภาพดิจิตอล, กล้องถ่ายวิดีโอ, ขาตั้งกล้องถ่ายภาพ, ขาตั้งกล้องวิดีโอ, ไฟมือถือสำหรับจัดแสง, ไมโครโฟนสำหรับหนีบเสื้อ, เครื่องอัดเสียง, เครื่องสลับสัญญาณเสียง, เครื่องสลับสัญญาณภาพและเสียง, เครื่องบันทึกดีวีดีระบบฮาร์ดดิส, ขาตั้งไฟสตูดิโอ เป็นต้น
พ.ศ. 2558 สาขาวิชานิเทศศาสตร์ ได้ปรับปรุงหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต โดยปรับปรุงให้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนในภาควิชาปฏิบัติของรายวิชา หลักและศิลปะการถ่ายภาพเพื่องานนิเทศศาสตร์ โดยยกเลิกการสอนภาคปฏิบัติในการถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์มขาวดำ การล้าง อัด ขยายภาพด้วยฟิล์มขาวดำ ในห้องปฏิบัติการล้าง อัด ขยายภาพ โดยปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนให้เข้ากับเทคโนโลยีของการถ่ายภาพด้วยระบบดิจิตอล
พ.ศ. 2561 มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มีนโยบายให้ภาควิชานิเทศศาสตร์ปรับปรุงห้องปฏิบัติการโดยย้ายห้องปฏิบัติการโทรทัศน์ วิทยาเขตแม่สา ในส่วนการเรียนการสอนในภาคปฏิบัติในห้องสตูดิโอวิทยุโทรทัศน์มายังอาคาร 29 (อาคาร 90 ปีราชภัฏเชียงใหม่ )
พ.ศ. 2562 ภาควิชานิเทศศาสตร์ ปรับปรุงห้องปฏิบัติการทางด้านนิเทศศาสตร์แล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 โดยมี
ห้องปฏิบัติการ ดังนี้
1) Studio Room จำนวน 1 ห้อง
2) Control Room จำนวน 1 ห้อง
3) Radio Studio จำนวน 2 ห้อง
4) Photo Studio จำนวน 1 ห้อง
ในปี พ.ศ. 2568 ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ในหมู่นักศึกษา จึงได้จัดตั้ง ห้องปฏิบัติการ “Creative Room” ขึ้น เพื่อเป็นพื้นที่สนับสนุนการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติจริง และการฝึกทักษะในกระบวนการผลิตสื่อ